การขนส่งทางเรือยังคงเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ประกอบการไทยที่นำเข้าสินค้าจากจีน ด้วยข้อดีด้านต้นทุนที่ต่ำกว่าการขนส่งทางอากาศหรือด่วนพิเศษ ทำให้เหมาะกับการนำเข้าสินค้าจำนวนมาก หรือสินค้าที่มีน้ำหนักและขนาดใหญ่ แต่คำถามสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้านำเข้าสินค้ามักสงสัยคือ “สามารถลดต้นทุนขนส่งทางเรือได้จริงหรือไม่?”
คำตอบคือ “ได้” — หากคุณรู้จักวางแผนล่วงหน้า ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม และเลือกพาร์ทเนอร์ด้านโลจิสติกส์ที่ไว้ใจได้ บทความนี้จะพาไปรู้จัก เคล็ดลับลดต้นทุนขนส่งทางเรือ แบบจับต้องได้ ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มกำไร และขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคง
เข้าใจต้นทุนขนส่งทางเรือก่อนเริ่มประหยัด
ก่อนลดต้นทุน คุณต้องเข้าใจก่อนว่าค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางเรือประกอบด้วยอะไรบ้าง:
- ค่าระวางเรือ (Freight Charge): ราคาค่าขนส่งสินค้าจากท่าเรือจีนมายังไทย คิดตามขนาดตู้ (FCL) หรือปริมาตร (CBM) หากเป็นการรวมตู้ (LCL)
- ค่าธรรมเนียมท่าเรือต้นทาง (Local Charges): เช่น ค่าดำเนินการท่าเรือ ค่าตู้ ค่าพิธีการส่งออก ฯลฯ
- ค่าภาษีนำเข้า: ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและพิกัดภาษี (HS Code) ที่ใช้
- ค่าขนส่งภายในประเทศปลายทาง: จากท่าเรือไปยังคลังสินค้า หรือจัดส่งถึงหน้าร้าน
- ค่าบริการเสริม: เช่น ค่าตีลังไม้ ค่าประกันสินค้า ค่ารวมสินค้า ฯลฯ
เคล็ดลับลดต้นทุนขนส่งทางเรือ
ที่เจ้าของธุรกิจควรรู้
-
วางแผนรอบเรือล่วงหน้า ลดค่าเร่งด่วน
การรีบนำเข้าสินค้าจากจีนในรอบเรือด่วน (ที่เร็วแต่แพง) มักทำให้ต้นทุนบานปลายโดยไม่จำเป็น ทางที่ดีควรวางแผนสั่งของล่วงหน้าอย่างน้อย 20–30 วัน เพื่อใช้รอบเรือปกติ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าหลายเท่าตัว
Tip: ตรวจสอบรอบเรือประจำจากชิปปิ้งและจองรอบไว้ล่วงหน้าเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียค่าด่วนโดยไม่จำเป็น
-
รวมตู้ (LCL) อย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณยังไม่ได้สั่งของในปริมาณมากพอจะเหมาตู้ (FCL) การรวมตู้ (LCL) เป็นทางเลือกที่ประหยัดและยืดหยุ่นมาก แต่อย่าลืมเลือกผู้ให้บริการที่:
- มีประสบการณ์ด้านการรวมตู้
- รอบเรือถี่
- ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง เช่น ค่าจัดของ ค่ารวมของ ค่ารอสินค้า ฯลฯ
ข้อดี: คุณจ่ายเฉพาะพื้นที่ที่ใช้จริง (CBM) ไม่ต้องเสียค่าตู้ทั้งใบ
-
จัดแพ็กสินค้าให้แน่น ใช้พื้นที่คุ้มทุก CBM
หลายครั้งผู้ประกอบการเสียค่า CBM โดยไม่จำเป็น เพราะสินค้าจัดวางไม่ดี เช่น กล่องใหญ่เกินไป ของพองลม ของเบาแต่กินที่
แนวทางประหยัด:
- สินค้าเบา เช่น หมอน ตุ๊กตา ควรใช้วิธี vacuum หรืออัดลมออกให้หมด
- ของเปราะบางให้ตีลังไม้แบบพอดี ไม่ใช้ลังขนาดเกิน
- ขอให้โรงงานแพ็กให้แน่น หรือใช้บริการรีแพ็กที่หน้าท่าเรือจีน
-
เลือกพิกัดภาษี (HS Code) ให้ถูกต้องที่สุด
หลายคนเสียภาษีนำเข้าเกินความจำเป็น เพราะใช้พิกัดภาษีผิดประเภท เช่น สินค้าควรเสียภาษี 5% แต่ถูกตีพิกัดให้เป็น 20% หรือสูงกว่า
แนวทางปฏิบัติ:
- ตรวจสอบ HS Code ที่เหมาะสมกับสินค้า
- ขอคำแนะนำจากชิปปิ้งหรือตัวแทนศุลกากรที่มีประสบการณ์
- เตรียมเอกสารให้สอดคล้อง เช่น ใบแจ้งรายการ (Invoice), รูปถ่ายสินค้า และ Spec
-
รวมรอบนำเข้า ลดรอบ ลดค่าใช้จ่าย
ผู้ประกอบการบางรายสั่งของแทบทุกอาทิตย์ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อรอบเพิ่มขึ้น เช่น ค่าขนส่งปลายทาง ค่าดำเนินการ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
คำแนะนำ:
รวมออเดอร์ทุก 2–4 สัปดาห์ ถ้ามีหลายโรงงาน ให้ใช้บริการ “รวมของ” ที่คลังจีนก่อน แล้วส่งเข้าตู้พร้อมกัน
-
ตรวจสอบค่าใช้จ่ายแบบ Net – ไม่ให้มีค่าแฝง
อย่าดูแค่ราคา CBM หรือราคาต่อตู้ ควรสอบถามราคาที่รวมทุกอย่างแล้ว เช่น:
- รวมค่าภาษีหรือยัง?
- มีค่าจัดการพิเศษหรือเปล่า?
- มีขั้นต่ำต่อรอบหรือไม่?
สิ่งที่ควรขอ: ใบเสนอราคาแบบ “Net to Door” (รวมทุกค่าใช้จ่ายถึงหน้าบ้าน) และเงื่อนไขชัดเจน
-
เลือกท่าเรือและเส้นทางที่คุ้มค่า
จีนมีหลายท่าเรือ เช่น กวางโจว หนิงโป เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น บางเมืองมีค่าขนส่งและค่าทำเอกสารต่างกัน
คำแนะนำ:
- เลือกท่าเรือที่ใกล้โรงงาน
- ถ้าต้องรวมของจากหลายแหล่ง ให้รวมที่ท่าเรือที่ค่ารวมตู้ถูก
- บางช่วงควรเลือกเส้นทางเรือผ่านฮ่องกงหรือมาเก๊า หากราคาถูกกว่า
ลดต้นทุนได้ แต่ต้องมี “แผน + พาร์ทเนอร์ที่ดี”
หลายคนเชื่อว่าลดต้นทุน = หาเจ้า “ราคาถูกที่สุด” ซึ่งไม่ถูกทั้งหมด เพราะเจ้า “ถูกแต่ไม่มีระบบ” มักทำให้เกิดปัญหา เช่น:
- สินค้าค้างท่าเรือ เสียค่าจอด
- เอกสารผิด เสียภาษีแพง
- สินค้าพังเพราะแพ็คไม่ดี
- มีค่าใช้จ่ายจุกจิกตอนไทย
ดังนั้น การเลือกพาร์ทเนอร์ขนส่งที่มืออาชีพ มีระบบครบ ตั้งแต่จัดของในจีน ตรวจสอบเอกสาร รวมสินค้า แพ็ค ตีลังไม้ เคลียร์ศุลกากร จนถึงขนส่งปลายทาง จะช่วยลดต้นทุน “ทั้งระบบ” ได้จริง
สรุป
การขนส่งทางเรือช่วยลดต้นทุนได้จริง หากวางแผนรอบเรือดี ใช้ LCL อย่างชาญฉลาด แพ็คของแน่นลด CBM ตรวจสอบพิกัดภาษีให้ถูกต้อง และรวมรอบนำเข้าเพื่อลดต้นทุนต่อเที่ยว พร้อมขอราคาแบบ Net ไม่มีแอบแฝง เลือกพาร์ทเนอร์ที่บริการครบวงจร หากยังไม่มีทีมดูแลทุกขั้นตอน JAWANDA CARGO พร้อมดูแลตั้งแต่สั่งของ เคลียร์ภาษี จนส่งถึงมือ ด้วยระบบโปร่งใส เชี่ยวชาญทั้ง LCL-FCL เพราะต้นทุนจริงคือ “การส่งถึงมือคุณได้อย่างปลอดภัยและควบคุมได้”