facebook ads library คืออะไร?
Facebook ads library
เป็นเครื่องมือที่จะช่วยในเรื่องของการทำการตลาด วิธีการทำงานคือจะรวมฐานข้อมูลทั้งหมดที่กำลังทำงานอยู่บน Facebook มาเปรียบเทียบเพื่อหาแนวทางในการสร้างโฆษณาใหม่ โดยฟีเจอร์นี้ได้พัฒนาออกมาเพื่อสร้างความโปร่งใสในการใช้งาน
สารบัญ
-ทำความรู้จักกับ FACEBOOK AD LIBRARY
-ข้อดีของการใช้ FACEBOOK ADS LIBRARY
-วิธีการใช้งาน AD LIBRARY
-5 จุดที่ต้องสนใจเมื่อใช้ AD LIBRARY ในการส่องคู่แข่ง
-
1. รูปแบบการเขียน Copy Writing
-
2. Title ของลิงก์เว็บไซต์
-
3. ความสร้างสรรค์ของดีไซน์
-
4. Format ของโฆษณา
-
5. ปุ่ม Call – to – Action
-สรุป
ทำความรู้จักกับ Facebook ad library
สำหรับเครื่องมือนี้เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งในขณะนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะเข้ามาดูข้อมูลงานโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องการเมืองและนโยบายที่สำคัญเท่านั้น แต่ต่อมาฟีเจอร์นี้ได้พัฒนาขอบเขตของฟังก์ชันการใช้งานที่มากขึ้น และครอบคลุมงานของด้านการตลาดทำให้สามารถค้นหาและดูข้อมูลโฆษณาต่างๆบน Facebook ads library ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะตั้งค่าว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของโฆษณาเหล่านั้นหรือไม่ก็สามารถค้นหาได้ทุกโฆษณาที่ต้องการ
- Available to everyone เป็นฟังก์ชั่นที่หากมีลิงก์นั้นไม่ว่าเป็นใครก็สามารถค้นหาดูโฆษณาบน Facebook ads library ของแต่ละเพจได้ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เป็น influencer ก็สามารถเข้าถึงโฆษณาค่ะสิ้นท่าแต่ทั้งนี้ก็จะมีการจำกัดเนื้อหาบางประเภทอย่างเช่นโฆษณาการพนันและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ถูกแสดงหากผู้ใช้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
- Completely searchable เพื่อทำการค้นหาข้อมูลด้วยการใส่ชื่อ page ลงไปในช่องค้นหา ไม่ว่าจะเป็นชื่อบุคคล ชื่อองค์กรหรือชื่อผลิตภัณฑ์ จะทำให้เจอกับ Pages ที่มีสินค้าชนิดเดียวกับธุรกิจของคุณ ซึ่งนักการตลาดที่เป็นสายเดียวกันก็สามารถใช้วิธีนี้นะเช่นกัน
ข้อดีของการใช้ facebook ads library
นอกจากช่วยให้หาไอเดียใหม่ใหม่ของคู่แข่งแล้ว การใช้เครื่องมือตัวนี้แล้ว ก็ยังมีข้อดีอื่นๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้ดังต่อไปนี้
1. ติดตามและหาแรงบันดาลใจด้วย Facebook ads library
ในหลายหลายครั้งที่สมองเริ่มตันการเข้าไปดูเพจสินค้าที่ให้บริการคล้ายกับธุรกิจของคุณนั้นก็เป็นการหาแรงบันดาลใจได้อีกทางหนึ่ง เครื่องมือตัวนี้จะช่วยให้คุณศึกษารูปแบบการทำโฆษณาของคู่แข่งเพื่อนำมาปรับใช้กับโฆษณาของตัวเองแต่ทั้งนี้จะสามารถอยู่ได้แค่ตัวอย่างงานเท่านั้นจะไม่สามารถเห็นยอด engagement ในโพสต์เหล่านั้นได้ และแน่นอนว่าเมื่อกินเข้าไปดูข้อมูลของคู่แข่งได้พวกเขาก็สามารถเข้ามาดูข้อมูลได้เช่นกันรวมถึงลูกค้าก็สามารถเข้ามาใช้งานเครื่องมือนี้ได้เหมือนกันด้วย
2.Facebook ads library สามารถค้นหาโฆษณาที่เคยเห็นผ่านตาแต่จำไม่ได้
ไปแหละในครั้งที่เลื่อนปิดใน Facebook อาจจะไปเจอโฆษณาที่สนใจหรือโปรโมชั่นปัญญาที่น่าจะนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้ แต่ไม่ได้เซฟหรือทำสำเนาโฆษณานั้นไว้ฉะนั้นฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ค้นหาโฆษณาได้อย่างง่ายดาย
3. Facebook ads library เลือกช่วงเวลาในการติดตามโฆษณาได้
เครื่องมือนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปส่องดูโฆษณาของคู่แข่งในทุกวัน สามารถเข้ามาดูได้ในสองช่วงเวลาก็คือ ช่วงต้นเดือนและช่วงเทศกาลพิเศษ จะมีการทำโฆษณาใหม่ๆ จากธุรกิจอื่นๆ ฉะนั้นเครื่องมือนี้สามารถตั้งค่าการติดตามล่วงหน้าได้โดยที่ไม่ต้องเข้ามาส่องบ่อยๆ
วิธีการใช้งาน Ad Library
วิธีการเข้าไปใช้งานมันจะมีทั้งหมด 2 วิธี คือ
1. คุณสามารถเข้าไปที่หน้าของ Ad library ได้โดยตรงเลยที่ลิงก์ : https://www.facebook.com/ads/library และค้นหาในช่อง Search
2. อีกหนึ่งวิธีก็ คือการเข้าไปในเพจนั้นๆ และเลือกที่ “Page Transparency” ที่อยู่ด้านขวาของเพจ และคลิ๊ก ‘See more’ จากนั้นก็เลื่อนลงมาในเซคชั่น “Ads From This Page” และคลิ๊กที่ ‘Go to Ad Library’ เท่านี้คุณก็สามารถดูเนื้อหาโฆษณาของเพจดังกล่าวได้แล้ว
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น คุณสามารถดูวิธีการใช้งานได้จากวิดีโอด้านล่างนี้เลยคะ
5 จุดที่ต้องสนใจเมื่อใช้ Ad Library ในการส่องคู่แข่ง
1. รูปแบบการเขียน Copy Writing
เทคนิคในการสังเกตุการเขียน Copy Wirting ของคู่แข่งก็คือ :
– พวกเขามีสไตล์การเขียนอย่างไร ?
– พวกเขาใช้โทนเสียง (Tone of voice) แบบไหนในการสื่อสารกับลูกค้า ?
– พวกเขาเลือกใช้การเขียนแบบ Long – form หรือ Short – form ?
– พวกเขาใช้เทคนิคอื่นๆ เพื่อให้คอนเทนต์ดูเข้าถึงง่ายไหม (เช่น การใส่ Emoji เป็นต้น)
สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าวิเคราะห์ออกมาแล้ว คุณจะได้รู้อะไรหลายๆ อย่างจากมัน เช่น พวกเขามีกลุ่มลูกค้าแบบไหน (จากการใช้ภาษาหรือคำ) หรือก็จะสามารถบอกได้ว่าด้วยการสื่อสารแบบนี้ มันเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเหล่านั้นได้ดีแค่ไหนนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น Hubspot ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการทางด้าน Inbound Marketing and Sales โดยเราจะสามารถสังเกตุได้จาก Ads ของพวกเขาว่า พวกเขามีการใช้รูปแบบของ Ad , CTA (Call to action) และรูปภาพที่เหมือนกัน แต่ใช้รูปแบบการเขียน Copy writing ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อทดสอบว่ารูปแบบการเขียนแบบไหนที่เวิร์คที่สุด
2. Title ของลิงก์เว็บไซต์
Title ของลิงก์เว็บไซต์เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ดี ซึ่งเพียงแค่เปลี่ยนคอนเทนต์ของ Title นั้น กลุ่มเป้าหมายก็อาจจะเปลี่ยนได้เช่นกัน หลากหลายเพจจึงมักจะลองด้วยประโยคที่หลากหลาย
ตัวอย่างจาก Hubspot (อีกเช่นเคย) นอกจาก Copy Writing แล้ว พวกเขาได้ทำการทดสอบกับคอนเทนต์ Title ของลิงก์เว็บไซต์เช่นเดียวกัน โดยจะสังเกตุได้ว่าพวกเขานั้นใช้รูปภาพ และรูปแบบโฆษณาที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ Title ของลิงก์นั่นเอง
3. ความสร้างสรรค์ของดีไซน์
รูปหรือวิดีโอมักเป็นสิ่งแรกๆ ที่สามารถหยุดสายตาของคนที่กำลังเลื่อนหน้าจออยู่ได้ ซึ่งถ้ารูปภาพหรือวิดีโอเหล่านั้นมีดีไซน์ที่สวยงาม พร้อมกับคอนเซปต์ที่สร้างสรรค์และน่าสนใจแล้ว มันก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะอยากทำความรู้จักกับสินค้าหรือข้อเสนอของคุณมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น Canva เว็บไซต์สำหรับการออกแบบดีไซน์ Artwork ต่างๆ ที่พวกเขาเลือกใช้วิดีโอใน Ad ของพวกเขา ซึ่งมีทั้งวิดีโอที่มีสีสันสะดุดตา และวิดีโอแบบเรียบง่ายแต่เข้าถึงได้ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันนั่นเอง
4. Format ของโฆษณา
ปัจจุบันโฆษณาบน Facebook นั้นมีหลากหลายประเภท เช่น
– Image Ads : โฆษณาที่เป็นรูปภาพ
– Video Ads : โฆษณาที่ใช้วิดีโอ
– SlideShow Ads : โฆษณาแบบรูปภาพที่เลื่อนไปเรื่อยๆ
– Carousel Ads : โฆษณาแบบเป็นเซ็ตรูปภาพหรือวิดีโอ
ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกัน โดยคุณสามารถใช้มันส่องได้ว่าโฆษณารูปแบบไหนจะเหมาะกับสินค้าหรือข้อเสนอของเรา เช่น ถ้าสินค้าของคุณมีหลากหลายประเภท คุณอาจจะได้ค้นพบว่า การใช้โฆษณารูปแบบ Carousel Ads นั้นได้ผลดีกว่าการเลือกโฆษณาแบบ Image Ads ที่เป็นรูปภาพเดี่ยวๆ
ตัวอย่างจาก Target ซึ่งเป็น Re-tailer เจ้าดังของสหรัฐ โดยเพจของพวกเขาเองก็ได้ใช้รูปแบบของโฆษณาที่แตกต่างกัน
5. ปุ่ม Call – to – Action
อย่างที่รู้กันว่า Facebook Ads นั้นสามารถใส่ปุ่ม CTA ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
- Send Message
- Apply now
- Book Now
- Contact Us
- Download
- Get Offer
- Get showtime
- Learn More
แต่ละปุ่มก็จะถูกนำไปใช้ในจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้คุณก็สามารถดูได้ว่าคู่แข่งของคุณใช้ CTA แบบไหนในแคมเปญโฆษณานั้นๆ ตัวอย่างเช่น Nike ที่ใน 1 แคมเปญ พวกเขาก็ได้ใช้ CTA ที่หลากหลายสรุป
สรุป
หวังว่าคุณเองจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับฟีเจอร์ Ad Library มากขึ้นและสามารถนำมันไปใช้ส่องคู่แข่งหรือแบรนด์โปรดของคุณได้จากการอ่านบทความนี้
แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรใช้เครื่องมือนี้เพื่อจุดประสงค์ในการลอกเลียนแบบ แต่ควรใช้มันเพื่อค้นหาไอเดียใหม่ๆ ในการพัฒนาโฆษณา Paid Campaign บนเพจ Facebook ของคุณคะ เพราะเมื่อคุณรู้วิธีที่จะทำการตลาดให้สินค้าของคุณเป็นที่รู้จักและน่าสนใจสำหรับลูกค้าแล้ว ก็จะสามารถขายสินค้าของคุณได้ในจำนวนมีมากขึ้นเรื่อยๆ และการขายสินค้าได้เยอะก็จะทำให้คุณสต๊อกสินค้าในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นและยังช่วยลดต้นทุนของสินค้าของคุณลงด้วย เพราะเมื่อสั่งสต๊อกสินค้าเป็นจำนวนที่เยอะขึ้นก็จะสามารถต่อรองราคากับผู้ผลิตได้นั้นเอง
หากคุณสนใจนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อช่วยลดต้นทุนของสินค้าทาง Jawandacargo ยินดีให้บริการคะ เราเป็นบริษัทนำเข้าสินค้าจากจีนแบบครบวงจรไม่ว่าคุณกำลังมองหาสินค้าแบบไหน อะไหล่สินค้าหรือสินค้าที่เป็นกระแสนิยมทางเราก็สามารถหาให้ได้ พร้อมบริการต่อรองราคากับทางโรงงานในจีน และหากคุณสั่งนำเข้าเป็นจำนวนเยอะทางเราก็มีส่วนลดสำหรับค่านำเข้าให้ด้วย สินค้าติดต่อสอบถามและปรึกษาได้ฟรี>>>