ในการนำเข้าสินค้าจากจีนควรรู้เรื่อง Commercial Invoice หรือ ใบกำกับภาษีการค้า เป็นเอกสารสำคัญในการทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศที่ ใช้เป็นหลักฐานในการซื้อขายสินค้า และ การคำนวณภาษีศุลกากร ใบนี้ช่วยให้รัฐบาลและศุลกากรสามารถตรวจสอบมูลค่าสินค้าเพื่อการจัดเก็บภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มได้
Commercial Invoice (ใบกำกับภาษีการค้า)ถือเป็นเอกสารสำคัญในกระบวนการค้าระหว่างประเทศและการขนส่งสินค้าระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อโดยมีความสำคัญในหลายๆด้านดังนี้:
-
หลักฐานในการทำธุรกรรมการค้า
เป็นหลักฐานที่ใช้ในการยืนยันการทำธุรกรรมระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อสินค้าและบริการที่มีการขายจะได้รับการยืนยันผ่านใบนี้เพื่อใช้ในการตรวจสอบหรือฟ้องร้องหากมีปัญหาเกิดขึ้นเช่นการขอคืนเงินจากความเสียหายหรือการปฏิเสธการชำระเงิน
-
การคำนวณภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียม
ใช้ในการคำนวณ ภาษีศุลกากร, ภาษีนำเข้า, และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยที่มูลค่าของสินค้าในใบกำกับภาษีนี้จะช่วยให้ศุลกากรสามารถประเมินภาษีที่ต้องชำระได้อย่างถูกต้องนอกจากนี้ยังใช้ในการคำนวณค่าธรรมเนียมศุลกากรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งข้ามประเทศ
-
การประกันภัยสินค้า
ในการขนส่งระหว่างประเทศมักจะถูกใช้เป็นเอกสารสำคัญในการทำประกันภัยสินค้าโดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถใช้ใบนี้ในการเคลมประกันภัยหากเกิดการสูญหายหรือความเสียหายของสินค้าในระหว่างการขนส่ง
-
การระบุเงื่อนไขการขนส่ง
ใบกำกับภาษีการค้าเป็นเอกสารที่ระบุเงื่อนไขการขนส่งเช่น Incoterms (FOB, CIF, DDP) ที่กำหนดว่าใครจะรับผิดชอบค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางการระบุเงื่อนไขเหล่านี้ทำให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเข้าใจขอบเขตความรับผิดชอบของตนเองได้ชัดเจน
-
การตรวจสอบความถูกต้องและการปฏิบัติตามกฎหมาย
การส่งให้กับหน่วยงานศุลกากรเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายการนำเข้า-ส่งออกของประเทศต่างๆเมื่อข้อมูลในใบนี้ถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยให้การขนส่งและการนำเข้าผ่านไปอย่างราบรื่นและไม่เกิดความล่าช้า
-
ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพและปริมาณสินค้า
ใบกำกับภาษีการค้าจะระบุ รายละเอียดสินค้าเช่น ชื่อสินค้า, ปริมาณ, รหัสสินค้า, และราคาต่อหน่วย ซึ่งช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถตรวจสอบ คุณภาพและปริมาณ ของสินค้าที่จัดส่งได้
-
การใช้ในการชำระเงิน
Commercial Invoice ยังเป็นเอกสารที่ใช้ในการ กำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น วิธีการชำระเงิน (T/T, L/C) และระยะเวลาการชำระเงิน ซึ่งสำคัญในการจัดการเงินสดและกระแสเงินหมุนเวียนในธุรกิจการค้า
-
ข้อมูลของผู้ขายและผู้ซื้อ
- ชื่อบริษัท/บุคคล (Seller/Buyer)
- ที่อยู่ (Full Address)
- หมายเลขโทรศัพท์/อีเมล (Phone Number/Email)
- หมายเลขภาษีประจำตัวผู้ขาย/ผู้ซื้อ (Tax Identification Number)
-
ข้อมูลของการขนส่ง
- หมายเลขใบสั่งซื้อ (Purchase Order Number)
- หมายเลขใบส่งสินค้า (Invoice Number)
- วันที่ออกใบกำกับภาษี (Date of Issue)
- หมายเลขบิลขนส่ง (ถ้ามี) (Bill of Lading Number)
- ชื่อบริษัทขนส่ง/ผู้รับผิดชอบการขนส่ง (Carrier’s Name/Shipping Company)
-
รายละเอียดสินค้า
- ชื่อสินค้า (Description of Goods)
- จำนวน (Quantity)
- หน่วยของสินค้า (Unit of Measurement, เช่น กิโลกรัม, ชิ้น)
- รหัสสินค้า (Product Code/HS Code)
- ราคาต่อหน่วย (Unit Price)
- มูลค่ารวมของสินค้า (Total Value of Goods)
-
มูลค่ารวมของใบกำกับภาษี
- ราคาสินค้ารวม (Total Invoice Value)
- ค่าขนส่ง (ถ้ามี) (Shipping Cost)
- ค่าประกันภัย (ถ้ามี) (Insurance Cost)
- ค่าธรรมเนียมอื่นๆ (เช่น ค่าธรรมเนียมสำหรับการจัดการ) (Other Charges)
-
เงื่อนไขการชำระเงิน
- วิธีการชำระเงิน (Payment Method เช่น T/T, L/C, PayPal)
- ระยะเวลาการชำระเงิน (Payment Terms, เช่น 30 วันหลังจากใบกำกับภาษี)
-
ข้อมูลเกี่ยวกับการขนส่งและ Incoterms
- เงื่อนไขการขนส่ง (Incoterms) เช่น FOB, CIF, DDP, ที่กำหนดความรับผิดชอบระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ
- สถานที่ขนส่งหรือส่งมอบ (Place of Delivery)
- ท่าเรือหรือสนามบินขนส่ง (Port of Loading/Port of Discharge)
-
รายละเอียดประกันภัย (ถ้ามี)
- บริษัทประกันภัย (Insurance Company)
- ประเภทการประกันภัย (Type of Insurance)
- จำนวนเงินประกันภัย (Insurance Amount)
-
ลายเซ็นและข้อมูลของผู้ขาย
- ลายเซ็นของผู้ขาย (Seller’s Signature)
- ชื่อและตำแหน่งของผู้ลงนาม (Name and Position of Signatory)
-
ข้อกำหนดทางกฎหมายและข้อมูลเพิ่มเติม
- ข้อกำหนดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (Legal Terms or Additional Notes)
- หมายเลขทะเบียนบริษัท/เลขที่ใบอนุญาตการค้าระหว่างประเทศ (Business Registration Number, Export License Number)
-
ระบุข้อมูลให้ครบถ้วนและถูกต้อง
- ข้อมูลผู้ขายและผู้ซื้อ: ตรวจสอบชื่อที่อยู่ของผู้ขายและผู้ซื้อให้ถูกต้อง รวมทั้งหมายเลขภาษี (Tax Identification Number) ที่ถูกต้องและใช้ได้
- รายละเอียดสินค้า: ระบุชื่อสินค้า, ปริมาณ, หน่วยวัด, รหัสสินค้า (HS Code) และราคาต่อหน่วยให้ชัดเจนและตรงกับสิ่งที่ส่งมอบ
- ราคาสินค้ารวมและค่าธรรมเนียมอื่นๆ: ต้องแสดงราคาสินค้าอย่างชัดเจน รวมถึงค่าขนส่ง, ค่าประกันภัย หรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอื่นๆ อย่างถูกต้อง
-
ตรวจสอบ Incoterms (เงื่อนไขการขนส่ง)
- ต้องระบุ เงื่อนไขการขนส่ง (Incoterms) ให้ชัดเจน เช่น FOB, CIF, DDP เป็นต้น เพื่อกำหนดความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ
- การเลือก Incoterms ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือข้อพิพาทระหว่างคู่ค้า
-
หลีกเลี่ยงการระบุราคาสินค้าในอัตราที่ต่ำเกินไป
- การระบุราคาสินค้าต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหากับ การตรวจสอบภาษีศุลกากร หรือมีการตรวจสอบเพิ่มเติมจากหน่วยงานศุลกากรที่อาจนำไปสู่การปรับหรือหักล้างสินค้าผ่านศุลกากร
-
ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงิน
- ควรระบุ เงื่อนไขการชำระเงิน และ วิธีการชำระเงิน อย่างชัดเจน เช่น วิธีการชำระเงิน (T/T, L/C) และระยะเวลาการชำระเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดในกระบวนการชำระเงิน
-
ระวังการคำนวณภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
- คำนวณ ภาษีศุลกากร, ภาษีนำเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งอย่างถูกต้อง และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการชำระภาษีและค่าธรรมเนียมอย่างครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
-
ใช้ข้อมูลที่สอดคล้องกับการตรวจสอบจากหน่วยงานศุลกากร
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่า รายละเอียดสินค้าหรือ HS Code ที่ระบุใน Commercial Invoice ตรงกับรายการที่ส่งไปยังศุลกากร เพราะการระบุข้อมูลผิดพลาดอาจทำให้สินค้าถูกกักขังหรือปฏิเสธการนำเข้า
-
ตรวจสอบการส่งเอกสารครบถ้วน
- ก่อนที่จะส่งสินค้าและใบกำกับภาษีการค้า ควรตรวจสอบว่าเอกสารที่ต้องการทั้งหมด เช่น ใบกำกับภาษีการค้า, ใบขนส่งสินค้า (Bill of Lading), ใบรับรองแหล่งที่มา (Certificate of Origin) และ ใบประกันภัย (Insurance Certificate) ถูกเตรียมและส่งให้ครบถ้วน
-
ระบุข้อมูลการขนส่งและหมายเลขบิลขนส่ง
- ต้องระบุ หมายเลขบิลขนส่ง (Bill of Lading Number) ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับเอกสารการขนส่ง เพื่อให้การติดตามและการตรวจสอบของศุลกากรเป็นไปได้ง่าย
-
ลายเซ็นผู้ขาย
- ใบ Commercial Invoice ควรมี ลายเซ็นของผู้ขาย เพื่อยืนยันความถูกต้องของเอกสาร หากไม่มีลายเซ็นอาจทำให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบเอกสารจากศุลกากรหรือผู้ตรวจสอบ
-
ระมัดระวังการใช้ข้อมูลเท็จ
- หลีกเลี่ยงการระบุข้อมูลที่ผิดพลาดหรือ การใช้ข้อมูลเท็จ เช่น การระบุราคาสินค้าในเชิงหลีกเลี่ยงภาษี เพราะอาจทำให้เกิดปัญหากฎหมายและส่งผลเสียต่อธุรกิจ
สรุป
ตอนนี้การนำเข้าสินค้าจากจีนจะต้องใช้ Commercial Invoice เพราะถือว่าเป็นเอกสารที่สำคัญ เพื่อให้การขนส่งและการนำเข้าสินค้าผ่านศุลกากรเป็นไปได้อย่างราบรื่นและไม่เกิดปัญหาในภายหลัง นอกจากนี้ยังใช้ในการคำนวณภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า.