
เรียกได้ว่า Cost, Insurance, and Freight (CIF) เป็นหนึ่งในเงื่อนไขทางการค้าระหว่างประเทศภายใต้ Incoterms ซึ่งกำหนดให้ ผู้ขายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า, ประกันภัย, และค่าระวางเรือจนกว่าสินค้าจะถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าถูกขนขึ้นเรือที่ต้นทาง
หลักการทำงานของ CIF แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก
-
Cost (ต้นทุนสินค้าและค่าขนส่ง)
ผู้ขายรับผิดชอบ
- ค่าบรรจุภัณฑ์และค่าขนส่งจากโรงงานไปยังท่าเรือต้นทาง
- ค่าดำเนินการศุลกากรขาออก
- ค่าระวางเรือ (Freight) ในการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือปลายทาง
ผู้ซื้อรับผิดชอบ
- ค่าธรรมเนียมศุลกากรขาเข้าและภาษีนำเข้า
- ค่าขนส่งจากท่าเรือปลายทางไปยังที่หมายสุดท้าย
-
Insurance (ค่าประกันภัยสินค้า)
ผู้ขายต้องทำประกันภัยสินค้า
- ผู้ขายต้องทำประกันภัยสินค้า ขั้นต่ำ 110% ของมูลค่าตามใบแจ้งหนี้ (Invoice Value) ตามข้อกำหนดของ Incoterms
- ประกันภัยครอบคลุม ความเสียหายหรือสูญหายระหว่างการขนส่ง แต่ผู้ซื้ออาจต้องดำเนินการเคลมประกันเองในกรณีที่เกิดปัญหา
ข้อจำกัดของประกันภัยใน CIF
- ประกันภัยที่ผู้ขายเลือกอาจไม่ครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด ผู้ซื้ออาจต้องซื้อประกันเพิ่มเติม
- หากเกิดปัญหาระหว่างการขนส่ง ผู้ซื้อต้องเป็นฝ่ายติดต่อบริษัทประกันเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
-
Freight (ค่าระวางเรือและการขนส่งทางทะเล)
ผู้ขายรับผิดชอบ
- ค่าระวางเรือ (Freight) ในการส่งสินค้าไปยังท่าเรือปลายทาง
- การออกใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) เพื่อเป็นหลักฐานในการขนส่ง
- ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า
ความเสี่ยงโอนย้ายไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าอยู่บนเรือ
- แม้ว่าผู้ขายจะดูแลค่าขนส่งทั้งหมด แต่ ความเสี่ยงจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อทันทีที่สินค้าถูกขนขึ้นเรือที่ต้นทาง
- หากเกิดความเสียหายระหว่างทาง ผู้ซื้อต้องติดต่อบริษัทประกันภัยเอง
ข้อดีของ CIF
- ผู้ขายจัดการขนส่งและประกันภัยให้ทั้งหมด
– ลดความยุ่งยากให้กับผู้ซื้อ เพราะผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการจองเรือและทำประกันสินค้า
- เหมาะสำหรับผู้ซื้อที่ไม่มีประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์
– ผู้ซื้อไม่ต้องจัดการเรื่องเอกสารส่งออกหรือจองเรือเอง ทำให้สะดวกขึ้น
- มีการประกันภัยสินค้า
-ผู้ขายต้องทำประกันภัยสินค้าอย่างน้อย 110% ของมูลค่าตาม Invoice ทำให้มีการคุ้มครองกรณีเกิดความเสียหายหรือสูญหาย
- ลดต้นทุนเบื้องต้นของผู้ซื้อ
-ผู้ซื้อไม่ต้องจ่ายค่าขนส่งและประกันภัยล่วงหน้า ผู้ขายเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด
- เหมาะกับผู้ซื้อที่ต้องการสินค้าถึงท่าเรือปลายทางโดยไม่ต้องกังวลเรื่องขนส่ง
-CIF เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการให้สินค้าถึงท่าเรือโดยไม่ต้องจัดการเรื่องโลจิสติกส์เอง
ข้อเสียของ CIF
- ผู้ขายเลือกบริษัทขนส่งเอง ผู้ซื้ออาจไม่ได้ค่าขนส่งที่ดีที่สุด
-เนื่องจากผู้ขายเป็นฝ่ายเลือกบริษัทขนส่งเอง ผู้ซื้ออาจต้องจ่ายค่าขนส่งแพงกว่าการเลือกขนส่งเองผ่าน FOB
- ความเสี่ยงโอนไปยังผู้ซื้อเร็ว (เมื่อสินค้าถูกขนขึ้นเรือที่ต้นทาง)
-หากสินค้าสูญหายหรือเสียหายระหว่างการขนส่ง หลังจากขนขึ้นเรือที่ต้นทางแล้ว ผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
- ประกันภัยอาจไม่ครอบคลุมทั้งหมด
-CIF กำหนดให้ทำประกันภัยขั้นต่ำ 110% ของมูลค่าตาม Invoice แต่ อาจไม่ได้ครอบคลุมทุกกรณี เช่น ภัยธรรมชาติ หรือการโจรกรรมบางรูปแบบ
- ค่าขนส่งอาจแพงกว่าการจัดการเอง (เมื่อเทียบกับ FOB)
– ผู้ขายอาจบวกราคาค่าขนส่งและค่าประกันเพิ่มเข้าไปในราคาสินค้า ทำให้ผู้ซื้อเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการใช้เงื่อนไขอื่น เช่น FOB
- ไม่เหมาะกับสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง
-สินค้าที่เปราะบางหรือมีมูลค่าสูง ผู้ซื้อมักต้องการควบคุมขนส่งและเลือกประกันเอง ซึ่ง CIF อาจไม่ตอบโจทย์
-
ค่าขนส่งทางทะเล
- CIF: ผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่งทางทะเล
- FOB: ผู้ซื้อเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่งทางทะเล
-
ค่าประกันภัยสินค้า
- CIF: ผู้ขายเป็นผู้จัดการประกันภัยขั้นต่ำ 110% ของมูลค่าสินค้า
- FOB: ผู้ซื้อสามารถเลือกทำประกันภัยเองหรือไม่ทำก็ได้
-
จุดที่โอนความเสี่ยงของสินค้า
- CIF: ความเสี่ยงโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าถูกขนขึ้นเรือที่ต้นทาง
- FOB: ความเสี่ยงโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าถูกขนขึ้นเรือที่ต้นทาง (เหมือนกับ CIF)
-
ความยืดหยุ่นในการเลือกขนส่ง
- CIF: ผู้ขายเป็นฝ่ายเลือกบริษัทขนส่ง
- FOB: ผู้ซื้อเป็นฝ่ายเลือกบริษัทขนส่งเอง
-
เหมาะกับใคร?
- CIF: เหมาะสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการความสะดวก ไม่ต้องจัดการเรื่องขนส่งเอง
- FOB: เหมาะสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการควบคุมต้นทุนขนส่งและเลือกบริษัทขนส่งเอง
-
ผู้ซื้อไม่มีอำนาจควบคุมการขนส่ง
เนื่องจาก ผู้ขายเป็นผู้เลือกบริษัทขนส่งและบริษัทประกันภัย ผู้ซื้อจึงไม่สามารถควบคุมปัจจัยเหล่านี้ได้ เช่น:
- ผู้ขายอาจเลือกบริษัทขนส่งที่มีต้นทุนต่ำ แต่คุณภาพการบริการไม่ดี
- ผู้ขายอาจเลือกเส้นทางขนส่งที่ใช้เวลานาน ทำให้สินค้าถึงช้ากว่ากำหนด
วิธีป้องกัน:
- ขอข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทขนส่งที่ผู้ขายเลือกใช้
- ตรวจสอบรีวิวของบริษัทขนส่ง
- ระบุข้อตกลงเรื่องระยะเวลาการจัดส่งในสัญญาซื้อขาย
-
ความเสี่ยงโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าขึ้นเรือ
ถึงแม้ว่าผู้ขายจะรับผิดชอบค่าขนส่งและค่าประกันภัย แต่ ความเสี่ยงของสินค้าจะโอนไปยังผู้ซื้อทันทีที่สินค้าถูกขนขึ้นเรือที่ท่าเรือต้นทาง
หากเกิดปัญหาระหว่างการขนส่ง เช่น:
- สินค้าสูญหายหรือเสียหาย แต่ประกันครอบคลุมไม่เพียงพอ
- เรือเกิดอุบัติเหตุหรือความล่าช้า แต่ผู้ขายไม่รับผิดชอบ
วิธีป้องกัน:
- ตรวจสอบ ขอบเขตของประกันภัย ที่ผู้ขายจัดหาให้
- หากประกันภัยไม่ครอบคลุมมากพอ ควรทำประกันภัยเพิ่มเติมเอง
- ตกลงกับผู้ขายให้ระบุเงื่อนไขชดเชยกรณีสินค้าสูญหาย
-
ค่าขนส่งและประกันภัยอาจสูงกว่าการจัดการเอง
ผู้ขายอาจเลือกบริษัทขนส่งที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติ ทำให้ต้นทุน CIF ที่เสนอให้ แพงกว่าที่ผู้ซื้อสามารถจัดหาเองภายใต้เงื่อนไข FOB
วิธีป้องกัน:
- ขอใบเสนอราคาทั้งแบบ CIF และ FOB แล้วนำมาเปรียบเทียบ
- หากค่าขนส่ง CIF สูงเกินไป ควรเลือกใช้ FOB และหาบริษัทขนส่งเอง
-
ประกันภัยอาจไม่ครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด
แม้ว่า CIF จะรวมค่าประกันภัยไว้แล้ว แต่ในความเป็นจริง ประกันภัยขั้นต่ำที่ผู้ขายทำให้ (มักเป็น 110% ของมูลค่าตาม Invoice) อาจไม่ครอบคลุมทุกความเสียหาย
วิธีป้องกัน:
- ขอสำเนากรมธรรม์ประกันภัยจากผู้ขายเพื่อตรวจสอบความคุ้มครอง
- หากสินค้ามีมูลค่าสูงหรือเปราะบาง ควร ทำประกันภัยเพิ่มเติมเอง
-
ค่าธรรมเนียมและภาษีศุลกากรเป็นความรับผิดชอบของผู้ซื้อ
แม้ว่า CIF จะครอบคลุมค่าขนส่งทางทะเลและประกันภัย แต่ ผู้ซื้อยังต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมศุลกากรขาเข้า ภาษีนำเข้า และค่าขนส่งจากท่าเรือปลายทางไปยังที่หมายสุดท้าย
วิธีป้องกัน:
- ศึกษาโครงสร้างภาษีนำเข้าของประเทศปลายทาง
- คำนวณค่าภาษีและค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย เพื่อให้ทราบต้นทุนที่แท้จริง
สรุป
ปัจจุบันCIF (Cost, Insurance, and Freight) คือเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศที่ ผู้ขายรับผิดชอบค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และค่าระวางเรือ จนถึงท่าเรือปลายทางของผู้ซื้อ โดยที่ ความเสี่ยงในการขนส่งจะโอนไปยังผู้ซื้อทันทีที่สินค้าถูกขนขึ้นเรือที่ต้นทาง ถึงแม้จะมีข้อดีในเรื่องความสะดวกสำหรับผู้ซื้อ การเลือกใช้ CIF ควรพิจารณาต้นทุนรวมและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ หากต้องการควบคุมการขนส่งและประกันภัยเอง FOB อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในบางกรณี ในการนำเข้าสินค้าจากจีนควรนำนึงในหลายเรื่องเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณ